วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เปิดร้านเช่าหนัง

ร้านเช่าหนัง

เมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา ขณะที่เดินทอดหน่องหามื้อเที่ยงทานอยู่ เพื่อนสาวผม (เจ้าของธุรกิจสื่อสาร อะอะ ... ไม่ธรรมดานะครับ ... เพื่อนผมเปิดร้านขายมือถืออยู่ในตลาด) เพื่อนสาวผมก็โทรมาหา ถามว่า "รู้วิธีเปิดร้านเช่าหนังรึเปล่า"
สมองตอนนั้นตอบได้ทันทีว่า ไม่รู้ ... เอ๊ะ.. นึกขึ้นได้ว่าเราเคยสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน และได้หาข้อมูลไว้พอสมควร

เปิดร้านเช่าหนัง VCD DVD คงเป็นอีกอาีชีพหนึ่ง ที่สามารถทำเป็นอาชีพเสริม หรือเป็นอาชีพหลักได้เลยทีเดียว การเปิดร้านเช่าหนัง ค่อนข้างที่จะใช้เงินลงทุนสูง จึงทำให้มีคู่แข่งน้อย แต่แน่นอน ถ้าในระแวกที่เราอยู่ นั้น มีร้านเช่าหนังอยู่แล้ว ไม่ควรทำร้านเช่ามาแข่ง อย่างยิ่งครับ การแบ่งลูกค้าจากร้านที่เปิดมาก่อนนั้น ยากมากๆ แต่ถ้าไม่มีร้านเปิดแถวนั้น ผมคิดว่าน่าจะดูรัศมีประมาณ 1 กิโลเมตร ครับ ไม่ใช่ไปเปิดกลางทุ่งนาคนเดียว นะครับ ...

ถ้าอยากเป็นเจ้าของกิจการร้านเช่าหนัง มีวิธีหลัก ๆ อยู่ 2 วิธี ดังนี้ครับ

1. กำ เงิน จากบ้านแล้วไปหา เฟรสซาด์ย สักที่หนึ่งแล้วบอกเขาว่าอยากได้ร้านเช่าหนัง เดี๋ยวเขาจัดให้ งบประมาณ คง 1-3 ล้าน บาท ครับ สิ่งที่จะได้คือ Brand, แผ่นหนัง DVD VCD ระบบคิดเิงิน และอุปกรณ์ตกแต่งร้าน

2. กำ เงินไว้ในมือก่อน แล้วเดินสายติดต่อ เจ้าของลิขสิทธิ์ค่ายต่างๆ แล้วตกลงซื้อลิขสิทธิ์หนัง แผ่นหนัง อุปกรณ์ ฯลฯ วิธีนี้เหนื่อยหน่อย แต่ประหยัด และได้ร้านตามที่เราอยากได้

ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
- ค่าตกแต่งร้าน
- ค่าโปรแกรมคิดเิงิน
- ค่าลิขสิทธิ์หนังจากค่ายต่างๆ เช่น CVD แมงป่อง Rose ฯลฯ ไม่ใช่ว่าเราจะซื้อแผ่นหนัง แล้วมาให้เช่าได้เลยนะครับ ผิดลิขสิทธิ์ เดี๋ยวโดนจับเสียเงินเสียทองเอาง่ายๆ
- ค่าแผ่นหนัง

หมดละครับ สำหรับค่าใช้จ่ายเบื้องต้น จะมากจะน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่า เราจะเปิดร้านใหญ่หรือเล็ก จำนวนแผ่น VCD DVD กี่แผ่น จะตกแต่งร้านอย่างไร ถ้ามีชุดเครื่องเสียง จอทีวี อันใหญ่ๆ ก็จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น แต่ก็หมายถึง งบประมาณที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ค่าใช้จ่ายรายเดือน
- ค่าเช่า
- ค่าน้ำค่าไฟ
- ค่าจ้างพนักงาน
- ค่าซื้อแผ่น VCD DVD
- แถม ค่าลิขสิทธิ์ อาจจะมีบางที่เก็บรายเดือน ราย 3 เดือน 6 เดือน ปี แล้วแต่ตกลง ครับ

รายได้
เมื่อรายจ่ายหลัก หมื่น หลักแสน ไปแล้ว มาดูรายได้ กลัก สิบ กันบ้าง เริ่มจากค่าเช่าหนังแผ่นละ 20 - 30 บาท ต่อ 1 วัน จะได้มากได้น้อย ขึ้นอยู่กับการทำตลาด และคู่แข่งครับ ...

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็น วิธีการคร่าวๆ นะครับ การทำงานจริงๆ ต้องมีอุปสรรค และปัญหา เล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคอยแก้ปัญหากันไปครับ ทุกปัญหามีทางออก และทุกทางออกมีปัญหา เช่นกัน ครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

5 อันดับ อาชีพเสริม ยอดฮิต

หลายคนทำอาชีพเสริม เพราะใจรัก แต่หลายๆ คนทำอาีชีพเสริม เพราะต้องการรายได้ มาจุนเจือค่าใช้จ่าย สร้างฐานะ มีหลายเหตุผล ที่คนมุ่งหาอาชีพเสริมทำ การได้ทำงานที่ตัวเองรัก และถนัด คงเป็นความใฝ่ฝันของหลายๆ คน บางคนต้องทำงานประจำ และได้ทิ้งงานที่ัตัวเองรักและถนัด แต่ก็ยังมีอีกทางออกหนึ่ง ที่พอจะทำให้ได้ทำอาชีพที่ตนเองรัก นั้นคือการทำเป็น อาชีพเสริม

อาชีพเสริม ที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป 5 อันดับ

1. รับจ้างพิมพ์เอกสาร
ดูเป็นงานง่ายๆ ที่สามารถเริ่มได้เลย เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ สักตัวหนึ่ง แม้จะเริ่มได้ทำได้ง่าย แต่รายได้ก็ไม่น้อยเลยสำหรับงานรับจ้างพิมพ์เอกสาร หน้าละ 15 บาท สำหรับภาษาอังกฤษ และหน้าละ 8 บาท สำหรับภาษาไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำอาชีพนี้ก็ต้องอยู่ในบริเวณที่มีลูกค้า เช่น ใกล้สถาบันการศึกษา เป็นต้น เริ่มทำโดยการประชาสัมพันธ์ แล้วแต่ความถนัดครับ ทั้งในเว็บไซต์ บอร์ด หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น สิ่งสำคัญของงานรับจ้างพิมพ์งานคือ ความถูกต้อง และตรงเวลา ถ้าทำได้ตามนี้งานจะเข้ามาทำเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

- ขับรถรับจ้าง
เป็น อาชีพเสริมอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมพอสมควรในกลุ่มคุณผู้ชาย เช่น ขับรถกระบะรับจ้างขนย้ายของ ซึ่งสามารถต่อรองเรื่องเวลาและค่าจ้างกับผู้ว่าจ้างได้ ขับรถแท็กซี่ โดยทำในช่วงหลังเลิกงาน หรือบางคนอาจจะรับจ้างขับรถรับส่งนักเรียน หรือรับจ้างขับรถให้กับคณะทัวร์ขนาดย่อมๆ ไปต่างจังหวัด ซึ่งเป็นงานที่รายได้ดีพอสมควร

- สอนพิเศษ

ผู้ ที่จะทำงานเสริมด้วยการสอนพิเศษจำเป็นจะต้องมีแบ็กกราวด์ด้านการเรียนที่ดี พอสมควร สำหรับการสอนวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ หรือมีทักษะฝีมืออื่นๆ เช่น สอนว่ายน้ำ โยคะ ศิลปะ งานฝีมือเย็บปักถักร้อย เพื่อให้บรรดานักเรียนของคุณเกิดความมั่นใจ โดยอาจจะรับสอนหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์ตามสถาบันสอนพิเศษต่างๆ หรือรับสอนที่บ้านเป็นส่วนตัวก็มี

- ค้าขาย
เป็น อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานเสริมรายได้ คุณอาจจะลงทุนทำการค้าขายเอง โดยมีลูกจ้างไว้ดูแลยามที่ต้องทำงานประจำ เช่น เปิดมินิมาร์ท หรือเป็นลูกจ้างในร้านค้าของผู้อื่น เช่น เป็นพนักงานเสิร์ฟ หรือรับสินค้ามาขายในลักษณะของการขายตรงก็ได้ เช่น ขายเครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งอาชีพนี้ต้องการคุณสมบัติด้านความขยันและใจเย็นพอสมควร ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ลูกค้าหนีไปได้ นอกจากนี้ปัจจุบันอาชีพค้าขาย ยังสามารถทำผ่านทางอินเตอร์ได้อีกทางหนึ่งซึ่งสะดวก และถึงกลุ่มลูกค้าได้ทันที

- ช่างภาพ
อาชีพที่นิยมทำเป็นงานเสริม ซึ่งงานกดชัตเตอร์นี้นอกจากจะเป็นงานให้ได้เงินแล้ว ยังถือเป็นการผ่อนคลายไปในตัวด้วย บางคนอาจจะรับจ้างถ่ายรูปในโอกาสสำคัญต่างๆ เช่น งานรับปริญญา งานแต่งงาน บางคนอาจจะถ่ายรูปที่ตัวเองชอบแล้วมาอัดเป็นภาพโปสต์การ์ดขายก็ได้ ซึ่งงานนี้อาจจะต้องใช้การลงทุนสูงเล็กน้อย ในการที่จะซื้อกล้องถ่ายรูปที่มีคุณภาพสูง อย่างพวก DSLR ราคาเริ่มตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป แ่ต่งานถ่ายภาพ ก็มีค่าตอบแทนสูงเช่นกัน อย่างที่มือสมัครเล่น รับถ่ายกันทั่วไป ค่าตอบแทนประมาณวันละ 1,500 บาท

ไม่ว่างานประจำหรืออาชีพเสริม หากทำงานด้วยใจรัก และตั้งใจทำงานให้ออกมาดีที่สุด งานนั้นๆ ก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

ขายสลัด เสริมอาชีพ

ขายสลัด เสริมอาชีพ



อาหารเพื่อสุขภาพ กำลังเป็นที่นิยม และได้รับความนิยม เพิ่มขึ้นทุกวัน
สลัด ก็เป็นอาหาร ที่สาวๆ ที่กำลังหาวิธีลดน้ำหลัก เลือกที่จะรับประทานกัน
ไม่ใช่แต่สาวๆ ตอนนี้หนุ่มๆ ก็หันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น
ร้านขายสลัด มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ กับความต้องการของ
ผู้ที่นิยมรับประทาน
ครั้งหนึ่งเพื่อนผมสนใจ ที่จะขายสลัด เป็นอาชีพเสริมโดยได้มาปรึกษาวิธีการทำน้ำสลัด
ซึ่งผมก็ได้หาแนวทาง และได้ศึกษาแนวทางการขายสลัดคราวๆ เลยมาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อว่าจะมีคนสนใจ เอาไปเป็นแนวทางในการทำเป็นอาชีพเสริม

แนวทางการขายสลัด เวลาเราไปเดินซื้อสลัด ก็จะเห็นว่าวิธีการทำ ไม่ได้ยาก
หัวใจของการทำสลัด คงจะเป็น น้ำสลัดที่ถูกปาก ผัก ผลไม้ ที่สดและสะอาด
การขายก็มีทั้งใส่ถุงให้ลูกค้า และทำเป็นสลัดบาร์ ให้ลูกค้าตักเอง แล้วชั่งและคิดเงิน

คงมีคนสงสัยว่าทำไม ผมไม่พูดถึงการทำน้ำสลัด
ขั้นตอนการทำน้ำสลัด คงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ของการขายสลัดก็ว่าได้
ผมขอบอกตามตรงว่าผมไม่รู้วิธีการทำน้ำสลัด
อ้าว.... แล้วอย่างนี้จะมาแนะนำวิธีการขายสลัดได้อย่างไร

การขายสลัด ไม่จำเป็นต้องทำน้ำสลัดเองครับ ในท้องตลาด มีน้ำสลัดหลายเจ้า
ให้เราเลือกซื้อ มาเพื่อขาย คู่กับ สลัดที่เราเตรียมไว้ได้
และจากที่ผมเคยลองทานน้ำสลัดของแต่ละเจ้า ที่มีขายในท้องตลาด
ตามก็มีความอร่อยที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้น เราสามารถเลือกซื้อ อันที่เราถูกใจได้เลย
ที่ผมแนะนำให้ซื้อน้ำสลัดเพื่อขายเพราะ เป็นการลดความเสี่ยงในการทำน้ำสลัดเอง
ถ้าเราทำแล้วไม่อร่อย หรือไม่ได้มาตรฐาน ทุกอย่างจบกัน

และหน้าที่สำคัญของเราคืออะไร หน้าที่สำคัญของเราคือ การเลือก ผัก ผลไม้ และการทำตลาด
มาดูการเลือกผักและผลไม้ ต้องเป็นผักที่สด สดสอาด และเลือกซื้อมาในบริมาณ
ที่เหมาะสม การเก็บรักษาผัก ก็มีความสำคัญ ต้องให้สดและใหม่อยู่เสมอ
ถ้าเลือกและจัดการกับผักผลไม้ไม่เป็น ก็ไม่ควรขายสลัด (ซึ่งผมก็ เลือกไม่เป็นเหมือนกัน)

มาดูการทำตลาดกัน การขายสลัด เหมือนกับการทำการค้าอื่น
เราต้องดูทั้งกลุ่มลูกค้า คู่แข่ง และแนวทางการขายสินค้า
การขายสลัดสามารถทำได้ทั้งการขายปลีกและการขายส่ง
ขายปลีก คงเป็นงานที่ค่อนข้างเหนื่อยสำหรับคนไม่มีเวลามากเท่าไหร่

ผมจึงแนะนำการทำแบบขายส่ง ทำแล้วส่งตามร้านค้า หรือตลาด
โดยเรากำหนดราคาที่เราต้องการไว้ และนำไปฝากขายไว้ที่ร้านค้า
และค่อยตรวจเก็บสถิติ เช่น ในครั้งแรก ๆ อาจฝากไว้สัก 3 ถุงก่อน
แล้วร้านไหน ขายดี ก็เพิ่มจำนวน ไปเรื่อยๆ ร้านไหนขายไม่ได้ก็หาแนวทางแก้ไข
ถ้าขายไม่ออก ก็ยกเลิกไป และระหว่างนั้นก็ต้องหาร้านที่เราส่งให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตามกำลังที่เราพอจะทำได้ครับ .....

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

กฎทอง 10 ข้อ ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้น เขาเป็นต้นแบบ ของหลายๆ
ที่กำลังมุ่งหน้าสู่การลงทุน ในยุคเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้ให้ข้อคิดสำคัญไว้ 10 ข้อ ดังนี้

1. ต้องทำงานหนัก สำหรับวอร์เรนแล้ว เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า “อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย” จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้

2. อย่าขี้เกียจ เขาได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า “ขนาดกุ้งมังกรตัวโตๆ ถ้ามัวแต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้” หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการหวังพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำให้ทำการลงทุนที่ฉลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่นถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามาในแต่ละเดือนได้ด้วย

4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อสิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริงๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจต้องขายสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดแทน ดังนั้นคิดและตั้งสติก่อนที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ

5. ตั้งใจออม เขาเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย ข้อนี้ลึกมากนะคะ หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องกันออกมาออมก่อนจะไปทำอย่างอื่น

6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้สร้างสิน เพียงแค่ต้องการมีทรัพย์สินให้เหมือนกับคนอื่น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว

7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝน ตราบใดที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน” นั่นคือต้องอย่าทำให้มีจุดรั่วไหลของบัญชี

8. หมั่นตรวจสอบ เขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็กๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ

9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่าที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่าเราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อมๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยงเราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด

10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนอย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้นเราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้

แนวทางที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้กล่าวเอาไว้นั้น อาจเป็นเพียงแนวคิดพื้นฐานง่่ายๆ ที่หลายคนรู้ดี แต่ยังขาดการนำไป
ปฏิบัติอย่างจริงจังเท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่าแนวทางการประสบความสำเร็จนั้นเป็นแนวทางพื้นฐานง่ายๆ ที่คนมองข้าม
มักคิดว่าการที่จะประสบความสำเร็จนั้น ต้องทำสิ่งที่ยากๆ แต่ก็ใช่ว่าความคิดนั้นจะผิดไปซะทีเดียว แต่การทำสิ่งที่ยากนั้น
คงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักสำหรับคนธรรมดาทั่วไป แต่การดำเนินตามแนวทางพื้นฐาน ก็สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ...

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

การทำน้ำรังนก เสริมอาชีพ

ในยุคที่คนกำลังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ ของตัวเอง อาหารหรือเครื่องดื่มที่บำรุงสุขภาพ
จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามเช่นกัน

สำหรับน้ำรังนก คงเป็นอาชีพเสริมง่ายๆ ต้นทุนต่ำ และสามารถสร้างรายได้ให้กับเรา
ได้อย่างไม่ยากนัก

มาดูแนวทางที่ผมเคยทำนะครับ แนวคิดนี้อ่านเจอในเวปพันทิพย์ แล้วจึงเอามาคิดทำ
เริ่มจาก ศึกษาวิธีการทำน้ำรังนก วัสดุ อุปกรณ์ แนวทางการทำตลาด ...

แนวคิด คือ ทำน้ำรังนก ออกมาขายส่งตามร้านค้า ในระแวก ในใ้กล้เคียง ที่พัก
และขยายจำนวนร้านไปเรื่อยๆ ให้ครอบคลุม โซน ... ที่เราอยู่

ต้นทุน น้ำรังนก ประมาณ ขวดละ 4 บาท ขายส่งขวดละ 8 บาท เพื่อร้านค้าจะนำไปขาย
ปลีกในราคา 10 บาท เท่ากับว่าถ้าขายได้เราจะได้กำไร ขวดละ 4 บาท
เป้าหมาย คือ ขายให้ได้วันละ 100 ขวด รายได้เฉลี่ย เดือนละ 12,000 บาท

แล้วจะเอาเวลาไหนมาทำล่ะ? การทำน้ำรังนก ทำได้ไม่ยากเลยครับ 200 ขวด
ใช้เวลาทำไม่เกิน 4 ชั่วโมง ทำวันเว้นวัน แล้วจะเว้นทำไม ก็เพื่อจะได้มีเวลา เอาออกไป ส่งร้านครับ

วิธีการทำน้ำรังนก


อุปกรณ์
1. เศษรังนกแห้ง สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าในตลาด ทั่วไปต้องลองเข้าไปถามดู
ในกรุงเทพฯ แหล่งการค้าใหญ่ คงเป็นเยาวราช มีราคาตั้งแต่ 500-10,000 บาท แล้วแต่เกรด
2. น้ำเปล่า
3. น้ำตาลกรวด
4. ใบเตย (เพื่อแต่งกลิ่น)
5. ขวด ขวดพลาสติกเล็กๆ ขายตามร้านขายบรรจุภัณฑ์ ขายเป็นแพ็คละ 100 ขวด
6. อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการบรรจุขวด
7. ฉลาก สั่งพิมพ์ต้นทุนตรงนี้ไม่ควรเกิน 0.25 บาท ต่อขวด

ขั้นตอนการทำ
1. นำรังนกแห้งมาแช่น้ำประมาณ 1 ชั่วโมง แยกเศษ สิ่งสกปรก ออก ให้หมด ตรงนี้อาจใช้เวลานิดหน่อย
แล้วนำรังนก ที่ได้ไปต้มให้เดือดประมาณ 15 นาที แล้วนำไป เสด็ด น้ำพักไว้ ทำขั้นตอนต่อไป
2. เตรียมน้ำเชื่อม ต้ม น้ำ+น้ำตาลกรวด ในปริมาณที่พอเหมาะ ต้องลองชิมดู ครับ
น้ำ 5 ลิตร ต่อน้ำตาลกรวดประมาณ ครึ่งกิโล ในตอนนี้อาจใส่ใบเตยเพิ่มกลิ่นเข้าไปก็ได้ครบั
3. เมื่อได้รังนก และน้ำที่ต้มแล้ว รอสักพัก ให้น้ำเย็นลง ก็ถึงขั้นตอนบรรจุขวด
4. ใส่รังนกเข้าไปในขวด แล้วใส่น้ำเชื่อม ปิดฝา เป็นอันเสร็จขึ้นตอน
5. น้ำรังนก ที่ได้ไปแช่ไว้ในตู้เย็น เพื่อรอส่งร้านต่อไป